THE SPIRIT OF SKATEBOARDING
ในวันที่แฟชั่นเดินทางสู่ยุคไร้เส้นแบ่งแยกทางเพศสภาพ จากแกนนำ 'อเลสซานโดร มิเคเล่' ครีเอทีฟ ไดเรกเตอร์แห่งกุชชี่ ผู้เข้ามาปลดแอกแฟชั่นเรียบโก้ของแบรนด์โลโก้ดับเบิ้ลจี ให้กลับมารุ่มรวยไปด้วยวัฒนธรรมจากอดีตวันวานที่หอมหวน พร้อมขับเคลื่อนกระแสที่ว่าด้วยคติ เยอะ(ไว้ก่อน) นั่นแหละดี! (หรือที่คุ้นเคยว่าคือลัทธิแฟชั่นแม็กซิมัลลิสต์) มาใช้เป็นใบเบิกทางสร้างความสำเร็จให้แบรนด์กุชชี่กลายเป็น แกนนำผู้ขับเคลื่อนเทรนด์หลักในโลกแฟชั่น ที่ผู้คนทั่วโลกต่างขานรับ วัฒนธรรมอดีตร่วมสมัย เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตอีกครั้ง
โดยหนึ่งในคียเวิร์ดความสำเร็จที่ มิเคเล่ เน้นย้ำตัวตนให้ผู้คนของกุชชี่ต่างกล้าลุกขึ้นปลดปล่อยอิสระทางจิตวิญญาณที่ไม่ยึดติดอยู่กับเพศสภาพ ด้วยแฟชั่นแบบ Genderless ที่ลื่นไหลไปตามรสนิยม ความชื่นชอบตามแต่ใจปรารถนา แบบไม่จำเป็นต้องมาปิดกั้นว่า หญิงหรือชาย เพื่อนำเสนอความหลากหลายทางเพศที่กลายเป็นตัวแปรสำคัญ ให้ผู้คนในสังคมยุคโซเชียล มีเดียต่างหันมาสนใจถึงแก่นแท้ของความเท่าเทียม




และเพื่อให้ขานรับกับกระแสแฟชั่นไร้เพศที่กำลังร้อนแรงในเวลานี้ มิเคเล่จึงรุกหน้าร่วมกับทีมออกแบบนาฬิกา สร้างสรรค์เรือนเวลาที่เน้นย้ำถึงนิยาม Genderless ด้วย Gucci Grip นาฬิกาข้อมือดีไซน์วินเทจที่ออกตัวว่าเป็น Genderless Watch เรือนแรกของกุชชี่ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมเยาวชนของกลุ่มสเก็ตบอร์ดช่วงยุค 1970s ที่ส่งอิทธิพลในงานออกแบบของมิเคเล่อยู่เรื่อยมา ถูกนำกลับมาปัดฝุ่นอีกครั้งให้กับภาพลักษณ์บทใหม่ของนาฬิกาเรือนเด่นรุ่นล่าสุดของกุชชี่




ซึ่งแน่นอนว่ามาครั้งนี้ มิเคเล่เลือกไม่จำกัดขอบเขตรูปทรงเรือนเวลาบนข้อมืออยู่แต่หน้าปัดทรงกลมคลาสสิก และเข็มสองเส้นแบบเดิมที่เคยมีมา แต่เขากลับนำเสนอความแตกต่างในช่วงทลายกำแพงการปฏิวัติให้กลับสาวกกุชชี่ ด้วยนาฬิกาตัวเรือนสี่เหลี่ยมทรงมน (ที่หลายคนอาจมองว่ามีหน้าตาดูคล้ายกับตาชั่งน้ำหนัก) ซึ่งมาพร้อมกับชั้นเชิงกลไกไร้เข็มที่เปลี่ยนจากหน้าปัดรูปทรงแบบเดิมๆให้กลับหมุนวนบนดิสก์หมุนสีขาว แสดงผลไปตามช่วงเวลาคล้ายกับนาฬิกาพกพาในอดีตวันวานที่ใช้แสดงวัน ชั่วโมง และนาที
โดยมีตัวเลือกจากดีไซน์ที่หลายหลาก ทั้งในเอดิชั่นรุ่นแรกที่เปิดตัวมาแล้วเมื่อช่วงต้นปีกับดีไซน์สะท้อนแฟชั่นจากอดีตวันวาน ด้วยตัวเรือนสีทองและเงินหน้าปัดขัดเรียบทั้งขนาด 35 มิลลิเมตร และ 38 มิลลิเมตร มีทั้งแบบสายสตีลเข้าเซ็ต หรือเลือกสายหนังวัวโทนสีเขียวที่จับคู่กับตัวเรือนสีเงิน และตัวเรือนสีทองจับคู่กับสายหนังวัวสีแดงก็ให้ลุคที่แมตช์เข้ากับสไตล์เรโทรได้เป็นอย่างดี แต่หากชื่นชอบโลโก้ดับเบิ้ลจีแบบดั้งเดิม ทางแบรนด์ก็มีตัวเลือกเป็นตัวเรือนสตีลลายสลักซิกเนเจอร์ Interlocking G ขนาด 38 มิลลิเมตร ให้ได้เลือกลองด้วยเช่นกัน



ก่อนตามมาติดๆกับเอดิชั่นลำดับสอง กับการปรับโฉมดีไซน์ให้มีลูกเล่นมากกว่าเก่ากับสองดีไซน์ใหม่ ทั้ง Gucci Grip Roulette ที่โยกช่องเวลาจาก ด้านบนให้หมุนวนเลื่อนลงทางขวาที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา พร้อมซ่อนกิมมิกด้วยปุ่มกด แสดงคียเวิร์ดตัวแทนความคิดในช่วงเวลาของวันอย่าง Amour, Change, Future และ Tenebrae บนดิสก์สลับสีตัดสลับไปมา หรือจะเป็น Gucci Grip Chronograph ที่ถูกต่อยอดจากดีไซน์วินเทจแบบเดิมให้เพิ่มเติมด้วยองค์ประกอบแนวสปอร์ตเปี่ยมความโมเดิร์นของ ซึ่งเชื่อได้เลยว่าจะเป็น Gucci Grip อีกรุ่นที่เตรียมขึ้นแท่น wish list ของสาวกกุชชี่ในปีหน้าได้อย่างแน่นอน